ย้อนรอย จากดอยฝิ่น สู่ ดอยคำ




“เรื่องที่จะช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้นมีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถเพาะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นรายได้กับเขาเอง จุดประสงค์อย่างหนึ่งคือมนุษยธรรม หมายถึงให้ผู้อยู่ในถิ่นทุรกันดารสามารถมีความรู้พยุงตัวให้มีความเจริญได้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่า ควรจะช่วยเพราะเป็นปัญหาใหญ่คือปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้างเขาจะเลิกปลูกยาเสพติด คือ ฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับการปราบปรามการสูบฝิ่นและค้าฝิ่นได้ผลดี อันเป็นผลอย่างหนึ่ง”
“อีกอย่างคือชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ทำการเพาะปลูกโดยวิธีที่จะทำให้บ้านเมืองของเราสู่หายนะได้ ที่ถางป่าและปลูกโดยวิธีไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขาก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี อยู่ดีกินดีและปลอดภัยได้อีกทั่วประเทศ ถ้าสามารถทำโครงการนี้สำเร็จให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง และสนับสนุนนโยบายจะรักษาป่า รักษาป่าให้เป็นประโยชน์ต่อไปและยั่งยืนมาก”
นี่คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ถึงวัตถุประสงค์ของมูลนิธิโครงการหลวง
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ยากต่อการเข้าถึงทำให้ภาคเหนือของไทยเคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและสิ่งผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นแหล่งสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดขนถ่ายสินค้าที่สำคัญคือสามเหลี่ยมทองคำ ชายแดนระหว่างไทย พม่า และลาว
ฝิ่นถือเป็นสินค้าสำคัญที่นิยมปลูกมาก เคยปลูกได้มากถึง 150 ตันต่อปี แม้จะผิดกฎหมายแต่ชาวเขาก็ยังคงเลือกที่จะปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยเป็นอาชีพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งปัญหาฝิ่น ที่เป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย เป็นภัยร้ายต่อสังคม, ปัญหาการทำไร่เลื่อนลอยที่ทำให้ป่าไม้อันอุดมสมบูรณของไทยถูกทำลาย และปัญหาที่สำคัญคือ คุณภาพชีวิตของชาวเขา ที่ลำบากและยากจน จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครการหลวงขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขา โดยในช่วงแรกอาศัยอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัย สถาบัน และหน่วยงานต่างๆเข้ามาช่วยเหลือในการหาพันธุ์พืชต่างๆที่สามารถปลูกได้ดีในภาคเหนือ ให้ผลผลิตดี และราคาแพง เพื่อให้ชาวเขามีรายได้มากขึ้น เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชที่โครงการจัดหามาแทน โดยมีตั้งแต่พืชไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักผลไม้เมืองหนาวหลากหลายสายพันธุ์ และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร มีการจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาและสถาบันวิจัยหลายจุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดยต่อมาทรงโปรดเกล้าให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดตั้งนิติบุคคลชื่อ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์
ด้วยพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ทำให้ปัญหาฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอยหมดไป และคุณภาพชีวิตของชาวเขาดีขึ้น มีความรู้ ความเข้าใจ และรายได้มากขึ้น สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง เป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้แก้ด้วยการใช้กฎหมายบังคับ หรือ การใช้กำลัง แต่เป็นการแก้ด้วยควมเข้าใจ ทรงเข้าถึงหัวใจของชาวเขาทุกๆเผ่า เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการเข้าใจกันและกัน ระหว่างพระราชา กับ ชาวเขา พระองค์ไม่ได้สั่งให้ชาวเขาเปลี่ยนมาปลูกพืชเมืองหนาว แต่ชาวเขาเปลี่ยนเอง เปลี่ยนเพราะเชื่อใจพระองค์ ท่านไม่ได้เปลี่ยนให้คุณภาพชีวิตของชาวเขาดีขึ้นด้วยพืชพันธุ์ แต่เปลี่ยนคุณภาพชีวิตของชาวเขาให้ดีขึ้นด้วยองค์ความรู้ เปลี่ยนจากดอยฝิ่น เป็นดอยคำ...
วรินทร เชาอนาจิณ รายงาน